ประวัติวันวาเลนไทน์
จริง ๆ แล้ว วันวาเลนไทน์ คือวันที่ระลึกถึง "เซนต์วาเลนไทน์" บุรุษผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270
ความเป็นมาของเรื่องเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 3 มีผู้นำคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ "วาเลนตินัส" เขาเป็นคนที่มีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ทุก ๆ วันเขาจะแอบนำอาหารและของใช้ที่จำเป็นไป วางไว้ที่ประตูบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นรู้ ในสมัยนั้นศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิ์ โรมัน ใครที่นับถือคริสต์จึงถือว่ามีความผิดร้ายแรง พวกคริสเตียนจึงถูกข่มเหงและทารุณกรรมอย่างหนักเพื่อ บังคับให้เลิกนับถือคริสต์ ใครไม่ยอมเลิกจะถูกทรมานและฆ่าทิ้ง วาเลนตินัสก็รวมอยู่ในขบวนการถูกทรมานและ ขู่เข็ญบังคับให้เลิกนับถือคริสต์แต่เขาไม่ยอม จึงถูกจับเข้าคุกในข้อหาเป็นคริสเตียน
ขณะที่เขาถูกขังอยู่ในคุก ก็พบรักกับลูกสาวของผู้คุมซึ่งตาบอด ด้วยความรักและคำอธิษฐาน ของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของลูกสาวผู้คุมหายเป็นปกติ ผู้คุมและครอบครัวของเขาจึงหันมา นับถือศาสนาคริสต์ เมื่อความรู้ถึงจักรพรรดิ์คลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก สั่งให้ลงโทษ วาเลนตินัสอย่างหนักด้วยการโบยแล้วนำไปตัดศีรษะ คืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารเขาได้เขียน จดหมายสั้น ๆ เป็นการอำลาส่งไปให้ลูกสาวผู้คุม ลงท้ายว่า "จากวาเลนไทน์ของเธอ"
รุ่งเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะ และเอาศพไปฝังไว้ที่ เฟลมิเนี่ยนเวย์ ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขา ไว้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงชีวิตและความรัก อันยิ่งใหญ่ของเขา คนทั่วไปประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวัน "วาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก ซึ่งต่อมาแพร่หลายในยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชียรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
|